วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ไปทุ่งดอกกระเจียว ๓


ทุ่งดอกบัวสวรรค์
ที่วนอุทยานเขาสวนกวาง(คนละที่กับอุทยานสัตว์ป่าอีสานตอนบน)
ความเป็นธรรมชาติที่เหลืออยู่ และจะอนุรักษ์ไว้สืบไป

            
             บ่ายวันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๕๔  วันที่แดด"เปรี้ยงๆ" พวกเรา ๔ คน  ได้แก่ ท่านพ่อพรามณ์"เรืองชัย โสภะสุนทร" ท่านวันชัย รัตนแสง (เพื่อนป่าเจ้าเก่า ผู้มีความรู้เรื่องต้นไม้ค่อนข้างดี)   อ.ประเสริฐ ศรีสม พร้อมกับผม(ครูคำมี)ผู้จุดประเด็น"ทุ่งดอกกระเจียว" นำ Cherokee คันแกร่ง ไปจอดไว้ที่หลังแป และเริ่ม Start มุ่งตรงไปที่หัวภูขาดอีกรอบ(สำหรับผม)

          ใน"ตามหาดอกกระเจียว ๒" ได้ให้ข้อมูลแล้วไว้บ้างแล้วเกี่ยวชือสถานที่และระยะทาง วันนี้ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมนิดหนึ่งว่าเส้นทางเป็นอย่างไรอย่างไร ขึ้นเขาลงห้วยหรือเปล่า 

           ถ้าเราเริ่มต้น ที่หลุมดิน(ห่างจากหลังแปไปทางทิศตะวันออก ประมาณ ๔๐๐ เมตร) ไปถึงหัวภูขาด ก็ประมาณ ๕๐๐ เมตร ถึง"หัวภูขาด" หมายความว่าเราถึงประตูทางเข้าของแหล่งที่หมายแล้วละ แต่เราอาจยังไม่พบ"บัวสวรรค์"(เปลี่ยนชื่อตามที่ชาวบ้านเรียกขานกัน) แต่สำหรับคนที่รักธรรมชาติที่ชอบดูภูมิทัศน์ที่สวยงามแปลกตาแล้ว มันคุ้มค่าจริงๆ จากประตูทางเข้า"แดน(ดอกบัว)สวรรค์" ไปถึงบ๋าหนามแท่งน้อยก็อีกประมาณ ๖๐๐ เมตร เดินเพลินๆเก็บเห็ดเพลินๆ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว...ดูแผนที่
          คณะของเรา ก้าวข้ามขอบหลุมดิน หายตัวเข้าไปในป่า ชั่วอึดใจก็ถึง"พลานหิน" จากพลานหินเลี้ยวซ้ายขวาแทรกลงไปตามซอกหิน ก็จะพบกับพลานหิน"ลื่น"ที่มีน้ำไหลผ่าน ต้องระวังตัวนิดหนึ่งใครลื่นล้มก็ทำให้ทั้งคณะหมดสนุก...จากนั้นก็เดินขึ้นลงบ้างตามเนินดินสลับกับเนินหิน ประมาณ ๘๐ เมตร ก็ถึง"หัวภูขาด" แล้ว

          ครั้งก่อน เราได้ขอข้อมูลจากทีมงานว่า ทำไมเรียกหัวภูขาด ได้รับคำตอบว่า ชื่อนี้เรียกตามลักษณะของภูมิประเทศ ที่ภูเขาลูกนี้(ลูกที่อยู่ตรงข้ามกับหลังแป)ทอดตัวเป็นแนวยาวแล้วเหมือนถูกแรงกระแทกให้ทั้งสองข้างแตกและขาดออกจากกัน จึงได้ชื่อตามนั้น
         ทุกครั้งที่ผมเข้ามาสัมผัสที่"ทุ่งดอกบัวสวรรค์" แห่งนี้ ผมนึกถึงกาพย์พรพไชยสุริยา ที่แต่งโดยท่าน"สุนทรภู" ที่บรรยาย  ลักษณะของธรรมชาติที่กินใจว่า

             " เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน  เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสำอางข้างเคียง
               เขาสูงฝูงหสงส์ลงเรียง  เริงร้องซ้องเสียง
สำเนียงน่าฟังวังเวง
                      กลางไพรไก่ขันบรรเลง   ฟังเสียงเพียงเพลง
 ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง
                     ยูงทองร้องกระโต้งโห่งดัง  เสียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสดาลขานเสียง..."
      

    บรรยากาศ ชวนฝันจริงๆ    

 
          เมื่อก้าวข้ามหัวภูขาด ก็เหมือนหลุดเข้าไปใน"แดนสวรรค์" คณะของผม ต่างตลึงกับสิ่งที่พบเห็นที่ทุ่งแห่งนี้ เสมือนปูลาดด้วยพรมสีเขียว แล้วนำพันธ์ไม้ที่แปลกตามมาตกแต่งไว้บนผืนพรม มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็พบมวลเมฆขาวที่ลอยตัวอยู่ในท้องฟ้าสีฟ้าสด ซ้ายมือเหนือศีรษะสูงขึ้นไปมีโขดหินสลับกับต้นไม้รูปแปลกตานานาชนิด มองตามแนวลาดเอียงของป่าเพ็กสีเขียวสดไปทางชวามือด้านทิศ      ตะออก ก็จะพบกับแนวเขาอีกลูกที่เป็นฉากกั้นและกำหนดขอบเขตทุ่งบัวสวรรค์เอาไว้ ทุกก้าวย่างที่เราเดินไปตามเส้นทาง"คนป่า"ท้องทุ่งสีเขียวแห่งนี้ก็จะค่อยๆเปิดตัวให้เห็นพื้นที่กว้างออกไปเรื่อย...ไปจนถึง"ทุ่งบัวสวรรค์"

          ผมเดาใจสมาชิกที่ร่วมเดินทางว่า คงอึดอัดพอสมควรที่ยังไม่เห็น"ดอกบัวสรรค์" ...และแล้ว...ก่อนที่จะข้ามเนินแรกไป ไปสู่เนินที่สอง สายตาของผมก็สัมผัสกับสิ่งหนึ่งเข้า ผมหันกลับมาเล่น"มุข"กับคณะโดยค่อยกระซิบว่า "ค่อยเดิน อย่างส่งเสียง...อย่างส่งเสียงดัง มันจะหนีไปก่อน"...ผมต้องขอโทษที่เล่นมุขที่ค่อนข้างแรงกับคณะ...ในที่สุดผมก็พูดเสียงดังขึ้นพร้อมกับชี้มือไปข้างหน้าว่า"โน่น เห็นไหมทุ่งบัวสวรรค์ ผมกลัวว่าถ้าส่งเสียงดังมันจะหนีไปก่อน" ....คำด่าของคณะ"..@*&%EAQLO????????....(ไอ้บ้า)"

           ที่ทุ่งบัวสรรค์ ผมมอบกล้องให้ อ.วันชัย คนที่ผม confirm ว่า ถ่ายภาพได้ดีที่สุด น่าเสียดายคณะของพวกเรามีแต่"นายบาป" ไม่มี"นางแบบ"สักคนไม่กล้าเอาแก้มไปแนบกับดอกบัวสวรรค์ที่สวยสด... พวกเราเลือกถ่ายภาพมุมที่ชอบใจ ดอกที่สวยที่สุด ขอเรียนนิดหนึ่งว่า ทุ่งบัวสวรรค์ที่นี้ ขึ้นอยู่เองตามธรรมชาติ ธรรมชาติตกแต่งและจัดระเบียบด้วยตัวเขาเอง อาจจะไม่ลานตาเหมือนชัยภูมิที่คนเข้าไปจัดการ...บอกได้คำเดียวและหลายๆครั้งว่า "บริสุทธิ์"

         ผม เดินสำรวจ อ.ประเสริฐ เดินดูทั่วๆ แล้วก็ถ่ายไป เรื่อย ๆ อ.เรืองชัย ใช้โทรศัพท์มือถือ ถ่ายเท่าที่จะถ่ายได้ สำหรับ อ.วันชัยก็ก้มๆเงยๆ และเป่าน้ำเสียงดังฟู่ๆ เก็บภาพไปทีละดอกสองดอก...พอสมควรก็เดิทางกลับ

         เราไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือออกมานอกจากภาพถ่ายและความทรงจำ เพราะเราพอใจที่จะให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่นั่นตลอดไป...ให้เป็นสมบัติทางธรรมชาติอยู่คู่..."วนอุทยานแห่งชาติเขาสวนกวาง" สืบไป


                ครูคำมี นำภาพ "ขี้สูด" ที่ อ.เรืองชัยไปพบเข้าโดยบังเอิญ แต่ อ.วันชัยเก็บภาพไว้อย่างตั้งใจ


                                                            ขอคุณครับ

                                                                         "ครูคำมี"

ไม่มีความคิดเห็น: